Symmetric Encryption vs Asymmetric Encryption ต่างกันอย่างไร?
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันมากขึ้นทำให้ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าที่เคยไม่ว่าจะเป็นข้อมูลบัตรเครดิต หมายเลขบัตรประชาชน ข้อมูลทางธุรกิจอย่างงบทางการเงินหรือความลับทางการค้า ล้วนเป็นข้อมูลที่ไม่ควรให้บุคคลภายนอกรู้ ดังนั้นการรักษาข้อมูลเหล่านี้ให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามต่าง ๆ ทางออนไลน์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก ดังนั้น วันนี้ทาง ERT จะพามาดูกันว่า Symmetric Encryption vs Asymmetric Encryption ต่างกันอย่างไร และมีกี่ประเภท ติดตามอ่านได้ในบทความนี้
Contents
Symmetric Encryption vs Asymmetric Encryption ต่างกันอย่างไร?
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่คอยช่วยเหลือด้านการรักษาความปลอดภัยเมื่อมีการส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตก็คงหนีไม่พ้นกับการเข้ารหัส (Encryption) ด้วยกุญแจที่จะคอยแปลงข้อมูลต่าง ๆ ให้เป็นรหัสลับที่อ่านไม่รู้เรื่อง (Ciphertext) เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเปิดอ่านได้ หรือถ้าอ่านก็จะอ่านไม่รู้เรื่อง และหากต้องการที่จะถอดรหัสข้อมูลเหล่านี้เราจะต้องทำยังไงล่ะ แน่นอนว่าหากมีการเข้ารหัส (Encryption) แล้วละก็จะต้องมีการถอดรหัส (Decryption) อย่างแน่นอน
การถอดรหัส (Decryption) ด้วยกุญแจจะทำให้รหัสลับที่ไม่สามารถอ่านได้กลับมาอ่านได้อีกครั้ง ซึ่งการถอดรหัสควรมีแค่บุคคลที่ผู้ส่งต้องการให้เห็นเท่านั้นที่สามารถดูได้ เพราะหากข้อมูลหลุดไปสู่สาธารณะแปลว่าระหว่างการเข้ารหัสนั้นจะต้องเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน โดยการเข้ารหัสทุกประเภทสามารถถูกถอดรหัสได้ด้วยบุคคลที่ 3 หากมีระยะเวลาในการถอดรหัสมากพอ ซึ่งอาจจะใช้เวลานานมากจนไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปเนื่องจากความสามารถของคอมพิวเตอร์ปัจจุบันที่ทำให้การถอดรหัสเป็นไปได้ยากขึ้น
ประเภทของการเข้ารหัสข้อมูล
ประเภทของการเข้ารหัสข้อมูลจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ ได้แก่
1. Symmetric Encryption
Symmetric Encryption คือ การเข้ารหัสและถอดรหัสแบบกุญแจ 1 ดอก โดยผู้ส่งและผู้รับจะใช้กุญแจดอกเดียวกันในการเข้ารหัสและถอดรหัส ซึ่งกุญแจนี้จะถูกเก็บเป็นความลับและเข้าถึงได้เฉพาะผู้ส่งและผู้รับเท่านั้น กุญแจในรูปแบบนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “Secret Key”
2. Asymmetric Encryption
Asymmetric Encryption คือ การเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลแบบกุญแจ 2 ดอก โดยผู้ส่งจะมีกุญแจ 1 ดอกในการใส่รหัสข้อมูล และผู้รับก็จะมีกุญแจอีก 1 ดอกในการถอดรหัสข้อมูล โดยกุญแจ 2 ดอกนี้จะเรียกว่า “กุญแจคู่ (Key Pair)” ซึ่งแบ่งออกเป็น กุญแจสาธารณะ (Public Key) ที่จะสามารถประกาศให้ผู้อื่นทราบหรือสามารถแจกจ่ายออกไปในที่สาธารณะได้ ส่วนกุญแจส่วนตัว (Private Key) จะต้องเก็บรักษาไว้กับเจ้าของกุญแจเท่านั้นและห้ามไม่ให้ใครรู้ การทำงานของกุญแจทั้ง 2 ดอกนี้จะทำคู่กันคือถ้าเราใช้ Public Key ในการเข้ารหัสลับก็จะต้องใช้ Private Key ในการถอดรหัสลับและหากใช้ Private Key ในการเข้ารหัสลับก็จะต้องใช้ Public Key ในการถอดรหัสลับเช่นกัน
การเลือกใช้ Encryption
หากคุณต้องการเข้ารหัสและถอดรหัสแบบรวดเร็วแนะนำให้ใช้ Symmetric Encryption เนื่องจากในการเข้ารหัสหรือถอดรหัสไฟล์ตัวระบบจะใช้การประมวลผลทางคณิตศาสตร์ที่ไม่ซับซ้อนมากทำให้การใช้ทรัพยากรของคอมพิวเตอร์น้อยกว่าแบบ Asymmetric Encryption
หากคุณต้องการให้สามารถระบุตัวตนได้และบริหารจัดการกุญแจให้ง่ายขึ้นแนะนำให้เลือกใช้การเข้ารหัสแบบ Asymmetric Encryption เนื่องจากมีลายเซ็นดิจิทัล (Digital Signature) ที่สามารถตรวจสอบและยืนยันตัวตนได้ว่าลายเซ็นนั้นเป็นของคนที่เซ็นลงไปจริง ๆ ไม่ได้ถูกปลอมแปลงระหว่างการติดต่อสื่อสารแต่อย่างใด รวมถึงการเข้ารหัสแบบ Asymmetric Encryption ช่วยลดความยุ่งยากในการส่งกุญแจระหว่างผู้รับและผู้ส่งเนื่องจากการใช้กุญแจ 2 ดอกนั้นตัว Private Key เราจะเก็บไว้กับตัวเอง ผู้ส่งจะส่งแค่ตัว Public Key ที่สามารถเปิดเผยได้คนอื่นรู้ได้รวมถึงสามารถส่งในช่องทางปกติได้เลยไม่จำเป็นต้องเป็นช่องทางลับ
สรุป
สรุปได้ว่าทั้ง Symmetric Encryption และ Asymmetric Encryption ต่างก็มีจุดแข็งที่แตกต่างกันไป การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างการเข้ารหัสและถอดรหัสของทั้งสองตัวนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเลือกใช้ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ต่าง ๆ อีกด้วย
สำหรับใครที่ต้องการเพิ่มความสามารถทางด้านการป้องกันภัยคุกคามจากโลกออนไลน์ ทาง ERT ศูนย์ฝึกอบรมของเราก็มีคอร์สมามากมายมาแนะนำให้เพื่อน ๆ เลือกกัน ซึ่งสามารถเลือกเรียนได้ทั้งแบบ Onsite และ Classroom มีทั้งแบบ Private และ Public ด้วยนะ สนใจสามารถคลิกลิงก์ด้านล่างนี้เพื่อดูรายละเอียดคอร์สเรียนและสอบถามได้เลย!! 👇
https://www.ert.co.th/it-training/
Ref: techtarget, techtarget
💬🙋♂️ สอบถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อมาได้ที่
☎ Tel: 02-718-1599
✉ Email: info@ert.co.th
📱 Line: https://lin.ee/wtyQVtl